วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2561

10 ทริคจัดหิ้งพระในบ้านอย่างไรให้เป็นสิริมงคลกับเจ้าของ


บ้านแต่ละหลังย่อมมีหิ้งพระ หรือมากกว่านั้นอาจจะมีหิ้งเทพ หิ้งรูปบรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ แต่ก็ยังพบปัญหาว่าหลายคนไม่ทราบว่าควรจัดวาง ตั้งหิ้งพระไว้บริเวณใดของบ้านถึงเหมาะสมและเป็นมงคลกับชีวิต รวมถึงอาจเผลอวางหิ้งพระผิดที่ผิดทางจนเกิดความไม่เป็นมงคลได้ 

1.หมั่นดูแลหิ้งพระให้สะอาดอยู่เสมอ หลายจุดในบ้านเจ้าของบ้านให้ความสำคัญแต่บางครั้งหลงลืมตำแหน่งของหิ้งพระ ดังนั้นต้องหมั่นเช็ดทำความสะอาดองค์พระหรือรูปเทพ เพราะหากองค์พระหรือรูปเทพมีฝุ่นจับเชื่อว่าจะทำให้คนในบ้านเจ็บป่วย นอกจากนั้นควรหมั่นเปลี่ยนน้ำ ดอกไม้ในแจกันบูชาเพื่อให้ชีวิตของคนในบ้านสดชื่น แจ่มใสอยู่ตลอดเวลา
2.เลือกตำแหน่งที่สงบ หิ้งพระควรตั้งอยู่ในพื้นที่ๆ สงบ ไร้เสียงรบกวน จอแจ เช่นบางบ้านประดับหิ้งพระไว้บริเวณประตูเข้า-ออก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าคนในบ้านจะพบแต่ความวุ่นวาย
3.หิ้งพระไม่ควรติดตั้งผนังเดียวกับห้องน้ำหรือห้องครัว รวมถึงไม่ควรหันหน้าหิ้งบูชาไปตรงกับประตูห้องน้ำหรือห้องครัว เพราะจะทำให้คนในบ้านเจ็บป่วย มีเรื่องขัดแย้งหรือเงินทองรั่วไหล
4.หิ้งพระบนหลังตู้ควรสูงกว่าศีรษะ หากคุณพักอาศัยในคอนโดมิเนียม อพาร์ทเมนท์หิ้งพระควรอยู่สูงกว่าศีรษะเพราะมันเกี่ยวพันกับความเจริญก้าวหน้า อาชีพการงาน
5.ห้องพระคือห้องพระ ห้องพระก็คือห้องสำหรับตั้งบูชาพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียว เราอย่าใช้ห้องพระไว้เก็บข้าวของชนิดอื่นๆ รวมทั้งห้องพระไม่ควรอยู่ติดกับห้องน้ำหรือมีประตูตรงกับห้องน้ำ
6.หิ้งพระไม่ควรตั้งอยู่ปลายเตียง หากไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ควรตั้งหิ้งบูชาไว้ในห้องนอน เนื่องจากเราอาจมีกิจกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อหน้าหิ้งพระเช่นการเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือการร่วมหลับนอนของคู่สามี-ภรรยา อีกทั้งยังไม่ควรหันหน้าหิ้งพระไปยังทิศที่เตียงตั้งอยู่ด้วย
7.ห้องรับแขกไม่ใช่ที่ตั้งของหิ้งบูชา อย่างที่บอกว่าหิ้งพระควรตั้งอยู่ในห้องที่ค่อนข้างมีบรรยากาศสงบ
8.บนหิ้งพระควรมีองค์พระหรือองค์เทพเป็นจำนวนเลขคี่
9.หลีกเลี่ยงการตั้งหิ้งบูชาไว้ใต้คาน เพราะหมายถึงดวงชะตาของเจ้าของบ้านอาจถูกกดทับ และมักมีเรื่องให้ปวดหัวอยู่เสมอ
10.หิ้งพระควรตั้งอยู่ในมุมที่เป็นสัดส่วน ไม่ใช่เมื่ออยู่นอกบ้านแล้วสามารถมองเห็นหิ้งพระในบ้านอย่างชัดเจน เช่นนั้นถือว่าไม่ดี
นอกจากนี้ยังมีทิศต้องห้ามไม่ให้เจ้าของบ้านตั้งหิ้งพระอีกด้วย มาดูกันว่าคุณเกิดปีไหนและห้ามไม่ให้ตั้งหิ้งพระตรงไหน

เจ้าของบ้านเกิดปีชวด ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศเหนือ เพราะจะส่งผลให้เจ้าบ้านเกิดอันตราย จนอาจถึงขั้นเสียชีวิต
เจ้าของบ้านเกิดปีฉลู ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จะส่งผลให้เจ้าบ้าน เกิดการเจ็บป่วยอย่างกะทันหัน
เจ้าของบ้านเกิดปีขาล ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จะส่งผลให้ผู้หญิงและสมาชิกในครอบครัวเกิดอันตราย
เจ้าของบ้านเกิดปีเถาะ ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาไปทางทิศตะวันออก จะส่งผลให้เกิดความสูญเสียคนในบ้านจะเสียชีวิต
เจ้าของบ้านเกิดปีมะโรง ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันออก จะส่งผลให้คนในบ้านเกิดการเสียหายทั้งชายและหญิง
เจ้าของบ้านเกิดปีมะเส็ง ห้ามตั้งหิ้งพระบูชา หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพราะจะส่งผลให้คนในครอบครัวมีความยุ่งยากที่สุดจนหาความสงบสุขไม่ได้
เจ้าของบ้านเกิดปีมะเมีย ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศใต้ จะส่งผลให้เกิดเรื่องราวอัปมงคลขึ้นภายในบ้าน
เจ้าของบ้านเกิดปีมะแม ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพราะจะส่งผลให้ครอบครัว เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นอย่างไม่คาดฝัน
เจ้าของบ้านเกิดปีวอก ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เพราะจะส่งผลให้เกิดเรื่องร้าย ๆ กับสมาชิกเพศชายในครอบครัว
เจ้าของบ้านเกิดปีระกา ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเพราะ จะทำให้ความทุกข์โศกมาเยือนครอบครัวจนต้องร้องให้อยู่เสมอ
เจ้าของบ้านเกิดปีจอ ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เพราะจะส่งผลร้ายให้สมาชิกในครอบครัวอย่างมาก ถึงขั้นเสียชีวิตได้
เจ้าของบ้านเกิดปีกุน ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเพราะจะส่งผลให้เกิดเรื่องร้าย ๆ ในครอบครัวอยู่ตลอด เสียเงินเสียทองขึ้นโรงขึ้นศาล
ที่มา:sanook

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2561

เคล็ดลับวิธีการที่ทำให้ผ้าขนหนูดูน่าใช้อยู่ตลอดเวลา


การดูแลของใช้ในชีวิตประจำวัน ที่ทุกวันต้องใช้ นั้นก็คือวิธีการที่ทำให้ผ้าขนหนู ดูน่าใช้อยู่ตลอดเวลา ของใช้สำคัญในชีวิตประจำวันที่เราขาดไม่ได้ ใช้หลังการอาบน้ำทุกวัน เรามาดูเทคนิค การดูแล ทำความสะอาดผ้าขนหนู ให้สะอาดดูดีอยู่เสมอมาฝากเพื่อนๆ กัน
1.หลีกเลี่ยงน้ำยาปรับผ้านุ่ม
เพื่อนๆ หลายคนเข้าใจว่าการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม ทำให้ผ้าขนหนูที่ใช้นุ่ม ๆ หอม ๆ  แต่ความจริงแล้วจะไปทำปฏิกิริยากับเส้นใยธรรมชาติ ในผ้าขนหนู ขนนุ่มตามธรรมชาติที่ฟูนุ่มก็กลายเป็นว่าทำให้ผ้าแข็งกระด้าง แต่ปัจจุบันมีหลายยี่ห้อผลิตสูตรออกมาเพื่อซักผ้าขนหนู ลองใช้แนวนี้ดู
2.เก็บผ้าขนหนูให้ห่างจากผลิตภัณฑ์สกินแคร์
ไม่ควรจะให้ผ้าขนหนูไปโดน ครีมบำรุงผิวต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เปอร์ออกไซด์หรือกรดอัลฟาไฮดรอกซีจะทำให้ผ้าขนหนูสีกระดำกระด่าง ผ้าขนหนูเปลี่ยนสีได้คงไม่น่าใช้เท่าไหร่
3.ใช้ผ้าขนหนู 3 ครั้งแล้วควรซัก
ผ้าที่เปียกชื้นถือเป็นแหล่งเชิญเจ้าเชื้อราทั้งหลายที่พร้อมจะมาอาศัยและเจริญเติบโต
4.ควรซักผ้าขนหนูด้วยน้ำเย็น และใช้ผงซักผ้าน้อย 
ทำความสะอาดผ้าขนหนูด้วยการซักในน้ำเย็น ถนอมให้ผ้าของเรามีสีสันที่สดใส และใช้ผงซักฟอกในปริมาณน้อย ทำให้เส้นใยในผ้าไม่แห้งแข็งเกินเมื่อแห้ง
5.แขวนผ้าเช็ดตัว ไว้บนราวเสมอ

ที่มา:sanook

วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2561

วิธีทำความสะอาดพื้นกระเบื้อง ที่มีคราบต่างๆ จากของในบ้าน ให้สะอาดใสไร้คราบ


ถ้าบ้านเพื่อนๆ เลือกที่จะใช้กระเบื้องในการตกแต่งบ้าน ทั้งปูพื้น ผนัง แม้วากระเบื้องนั้นจะทำความสะอาดง่ายๆในตัวมันเองแล้ว แต่บางครั้งบางคราวก็เกิดรอย เกิดคราบได้ วันนี้เรามีไอเดียการทำความสะอาดง่ายๆ ที่ไม่ต้องเลียเงินซื้อน้ำยา อาศัยของที่มีในบ้านต่างๆ ทั้งในครัว และ ของใช้ในชีวิตประจำวันก็สามารถทำความสะอาดได้แล้ว มีอะไรบ้างเราไปดูกัน
วิธีทำความสะอาดพื้นกระเบื้อง ที่มีคราบต่างๆ จากของในบ้าน ให้สะอาดใสไร้คราบ
น้ำส้มสายชู
ทำความสะอาดคราบกระเบื้องง่ายๆ โดยนำน้ำส้มสายชู ลงไปในขวดสเปย์ฉีดลงไปบนรอยคราบ ทิ้งไว้สักครู จากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่น คาบสกปรกจะหายไป รอยขีดขวนจะจางลง
ยาสีฟัน
ป้ายยาสีฟันลงบนรอยคราบ แล้วนำแปรงสีฟันเก่ามาขัด ล้างออกด้วยน้ำเปล่าทำพื้นที่สะอาดไร้คราบสกปรก
มะนาว
พื้นกระเบื้องมีคราบสนิม มะนาวกำจัดคราบสนิมบนพื้นกระเบื้องง่าย ๆ บีบน้ำมะนาวให้ทั่วรอยคราบ แล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที จากนั้นก็นำแปรงสีฟันเก่ามาขัดคราบ มะนาวไม่ทำร้ายผิวกระเบื้อง และไม่ก่อให้เกิดคราบเพิ่ม
เบกกิ้งโซดา
  • คราบบนพื้นกระเบื้องที่เพิ่งจะเกิด ไม่ค่อยฝังแน่น เพียงโรยเบกกิ้งโซดาให้ทั่วคราบ แล้วล้างทำความสะอาด
  • คราบที่ฝังลึกและเกิดขึ้นนาน ผสมเบกกิ้งโซดากับน้ำเปล่าเล็กน้อย นำไปป้ายคราบทิ้งไว้สักครู่ ทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่าและผ้าสะอาด
เบกกิ้งโซดาผสมน้ำส้มสายชู
โรยเบกกิ้งโซดาลงให้ทั่วพื้นกระเบื้อง จากนั้นก็นำน้ำส้มสายชูใส่ลงในขวดสเปรย์ แล้วนำมาฉีดทับบนเบกกิ้งโซดา ปล่อยให้ส่วนผสมทั้งสองเซตตัวจนเกิดฟองสักครู่ แต่อย่าให้นานเกินไป คราบสกปรกอาจจะกลับมาได้ง่าย ใช้แปรงมาขัด เอาคราบสกปรกออก เช็ดน้ำยาบนพื้นออกให้หมด ถูทำความสะอาดพื้นอีกรอบ
ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
การผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ¼ ถ้วยตวง
น้ำส้มสายชู ½ ถ้วยตวง สกปรกหนักมากก็ให้เพิ่มลงไปอีก
น้ำอุ่นปริมาณ 1.5 แกลลอน
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบ 5-10 หยด
คนให้ส่วนผสมต่าง ๆ เข้ากัน แล้วก็นำไปใช้ถูพื้น ช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียได้
****แต่บ้านที่เลี้ยงแมวเ ควรหลีกเลี่ยง เพราะสามารถเป็นพิษต่อแมว
ที่มา:sanook

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2561

อะไรบ้างที่ไม่ควรนำกระดาษทิชชูไปเช็ดทำความสะอาด

อะไรบ้างที่ไม่ควรนำกระดาษทิชชูไปเช็ดทำความสะอาด

อะไรบ้างที่ไม่ควรนำกระดาษทิชชูไปเช็ดทำความสะอาด เกี่ยวกับ วิธี

 การทำความสะอาดสิ่งของต่างๆ แน่นอนว่าเราจะรู้จัก 'กระดาษทิชชู' หรือบางคนเรียกว่า กระดาษชำระ ท่ี่เราเคยชินในการหยิบ ดึง มาใช้เช็ดนั่นนี่ไปเรื่อย แต่เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่า ที่ไม่ควรนำกระดาษทิชชูไปเช็ดทำความสะอาดบางสิ่ง วันนี้เรานำมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน
อะไรบ้าง ที่ไม่ควร นำกระดาษทิชชู ไปเช็ดทำความสะอาด
1.เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่มีฝุ่นเกาะ เปื้อนฝุ่น
ไม่ควร นำกระดาษทิชชู ไปเช็ดทำความสะอาด เพราะสามารถเกิดรอยถลอก ขีดข่วนเฟอร์นิเจอร์ไม้ได้
2.ไม่ควร นำกระดาษทิชชู ไปเช็ดแว่นตา
ใช้ผ้าสำหรับเช็ดแว่นตาโดยเฉพาะ เพราะกระดาษทิชชู อาจจะทำให้เลนส์แว่นตาเกิดรอยได้
3.เสื้อผ้าและกางเกงสีดำ
ควรใช้ผ้าสะอาดค่อยๆ ซับรอยเปื้อน ไม่ควรใช้กระดาษทิชชู่เช็ดทำความสะอาด เสื้อผ้าและกางเกงสีดำ ทำให้กระดาษแตกเป็นขุยใส่เสื้อผ้า
4.อุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ โดยเฉพาะที่มีหน้าจอ
ทางที่ดีสำหรับอุปกรณ์ราคาแพงเหล่านี้ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ ชุบแอลกอฮอลล์เล็กน้อย แล้วจึงนำไปเช็ด เพื่อนๆ ชาวเว็บคนไหนเคยชินกับการดึงกระดาษทิชชูใกล้มือมาเช็ด รู้มั้ยว่ากระดาษทิชชูมีพื้นผิวที่หยาบ ซึ่งสามารถทำให้หน้าจอโทรศัพท์ หรือเครื่องมืออิเล็คทรอนิคส์ทุกประเภทเกิดริ้วรอย บาดตาบาดใจได้นะจ๊ะ
5.คราบเปื้อนบนพรม
ถ้าใช้กระดาษทิชชูทำความสะอาดคราบเปื้อนบนพรม จะทำให้กระดาษทิชชูยุ่ย ทำความสะอาดยากไปกว่าเดิม ทางที่ดีเพื่อนๆ ควรจะใช้วิธี ใช้เบกกิ้งโซดาเททับคราบไว้ 1 คืน จากนั้นก็ค่อยๆ ซับคราบออกจะดีกว่า
ที่มา:sanook